วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2561

ก่อนเรียน

                                              แบบทดสอบก่อนเรียน

1. ลักษณะความงามของศิลปะไทยได้แก่ลักษณะในข้อใด
 ก. ลักษณะความงามของงานปฏิมากรรม
 ข. ลักษณะของการใช้แสงและเงา
 ค. ลักษณะของลวดลายที่แปลก
 ง. ลักษณะของเส้นที่หลากหลาย
2. ลักษณะของคนไทยที่โดดเด่นที่สุดคือข้อใด
 ก. มีความคิดสร้างสรรค์
 ข. มีความรักในอิสระเสรี
 ค. มีความกล้าหาญ
ง. มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง
 3. ลักษณะเนื้อหาของจิตรกรรมไทยส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
 ก. สภาพสังคมทั่วไป      ข. การประกอบอาชีพต่างๆ       ค. ประวัติศาสตร์    ง. ศาสนาและวัฒนธรรม
 4. การเขียนภาพจิตรกรรมไทยในกำแพงปูนเรียกว่าเป็นศิลปะประเภทใด
ก. จิตรกรรมฝาผนัง     ข. จิตรกรรมกำแพงปูน   ค. จิตรกรรมบานประตู      ง. จิตรกรรมเสรี
 5. สิ่งใดเป็นภาพอมนุษย์ในจิตรกรรมไทย
 ก. ภาพนางสีดา      ข. ภาพพญาครุฑ     ค. ภาพขุนแผน     ง. ภาพสวนพุทธคยา
 6. ข้อใดเป็นประติมากรรมของไทย
 ก. พระพุทธรูป       ข. จิตรกรรมฝาผนัง     ค. โบสถ์         ง. ศาลาการเปรียญ
7. ตัวหุ่นที่ใช้เล่นหนังตะลุงทำมาจากวัสดุประเภทใด
 ก. ดินเหนียว    ข. กระดาษแข็ง        ค. กระดาษข่อย     ง. หนังวัวควาย
 8. สิ่งใดเป็นสถาปัตยกรรมไทย
 ก. พระพุทธรูปปางต่างๆ
 ข. พระสถูปเจดีย์
ค. รูปปั้นคุณหญิงโม
 ง. ภาพเขียนที่ผนังวัด
 9. ลักษณะเด่นของเรือนไทย ทรงล้ม คือข้อใด
 ก. เสาเรือนเอนเข้าจุดศูนย์กลางเรือนเล็กน้อย
ข. เสาเรือนเอนห่างจากจุดศูนย์กลางเรือนเล็กน้อย
ค. รูปทรงของเรือนเป็นทรงสอบที่ฐานเรือนด้านล่าง
ง. รูปทรงของเรือนเป็นทรงสอบที่หลังคาเรือนด้านบน
10. เรือนไทย “หน้ากาแล” เป็นเรือนแบบวัฒนธรรมภาคใด
 ก. ภาคใต้      ข. ภาคเหนือ    ค. ภาคอีสาน   ง. ภาคกลาง

1. ก 2. ข 3. ง 4. ก 5. ข 6. ก 7. ง 8. ข 9. ก 10. ข  


หลังเรียน

                                                 แบบทดสอบหลังเรียน

 1. ลักษณะของบทละครเวทีคือข้อใด
 ก. มีเวทีเดียวในการแสดง จึงต้องมีการเปลี่ยนฉาก
ข. มีเวทีเดียวในการแสดง จึงไม่ต้องมีการเปลี่ยนฉาก
ค. ไม่ต้องเน้นรายละเอียด เพราะเวทีไกลจากผู้ชม
ง. ตำแหน่งตัวละครหรือผู้แสดง ไม่มีขอบเขตที่แน่นอนรเวทีคือข้อใด
2. ใช้ดนตรีบรรเลงประกอบละครเวทีเมื่อใด
 ก. ตอนเปิดม่าน            ข. ระหว่างบท
 ค. ตอนปิดม่าน             ง. ถูกทุกข้อ
 3. ข้อใดเป็นองค์ประกอบของนาฏศิลป์
 ก. เครื่องแต่งกาย          ข. การฟ้อนรำ
 ค. การร้องเพลง             ง. ลีลาการแสดง จำนวนผู้แสดง ดนตรี
4. การวิจารณ์ศิลปกรรมหรือวรรณกรรมหมายความว่าอย่างไร
ก. การกล่าวถึงจุดด้อยของศิลปกรรมหรือวรรณกรรม
ข. การกล่าวถึงจุดเด่นของศิลปกรรมหรือวรรณกรรม
ค. คำตัดสินของสิ่งที่เป็นศิลปกรรมหรือวรรณกรรม
ง. คำตัดสินของสิ่งที่เป็นศิลปกรรมหรือวรรณกรรมโดยผู้มีความรู้ที่เชื่อถือได้
 5. เนื้อเรื่องใดที่ควรนำมาใช้ในการแสดงโขน
ก. รามเกียรติ์          ข. อิเหนา
 ค. สังข์ทอง          ง. ขุนช้าง ขุนแผน
 6. ใครเป็นผู้ประดิษฐ์ท่าระบำม้า
 ก. นายกวี วรศะริน         ข. นาววัฒนา โกศินานนท์
 ค. นายมนตรี ตราโมท    ง. ท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนีย์
7. นายอร่าม อินทรนัฏ เป็นผู้ประดิษฐ์ท่าระบำใด
 ก. ระบำครุฑ        ข. ระบำปลา     ค. ระบำม้า     ง. ระบำช้าง 
8. นายวัลลภ ทองสุวรรณ เป็นผู้ประดิษฐ์ท่าระบำใด
 ก. ระบำกวาง      ข. ระบำลิง      ค. ระบำเงือก      ง. ระบำม้า
 9. ระบำใด แสดงประกอบอยู่ในเรื่องรามเกียรติ์ชุดพรามครองเมือง
 ก. ระบำบันเทิงกาสร       ข. ระบำกุญชรเกษม     ค. ระบำอัศวลีลา  บำปลา   ง. ระบำม้า
10. ระบำใดแสดงอยู่ในเรื่องอิเหนา
   ก. ระบำช้าง    ข. ระบำนกยูง      ค. ระบำปลา       ง. ระบำม้า
 1. ก 2. ง 3. ง 4. ง 5. ก 6. ง 7. ก 8. ข 9. ค 10. ข

คำอธิบายรายวิชา

คำอธิบายรายวิชา

 กลุ่มสาระศิลปะ                                                                                                                    วิชาพื้นฐาน

รายวิชา ศิลปะ 5                                                                                   ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
รหัสวิชา ศ 23101                                                                  เวลา 40 ชั่วโมง / ภาคเรียนที่ 1

          ศึกษาเพื่อให้เข้าใจเรื่องทัศนธาตุในการนำมาสร้างงานศิลปะ  เทคนิคต่างๆในการสร้างสรรค์งานศิลปะในรูปแบบทั้งไทยและสากล   การสร้างสรรค์งานศิลปะสื่อผสม  การสร้างงานทัศนศิลป์ทั้ง 2 มิติและ 3 มิติ  การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ที่สะท้อนคุณค่าทางวัฒนธรรม มีจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์มีจิตใจรักในงานศิลปะ
ศึกษาเพื่อให้เข้าใจองค์ประกอบในการสร้างสรรค์งานดนตรีและศิลปะแขนงอื่น  เทคนิคการขับร้องและบรรเลงดนตรีเดี่ยวและรวมวง  เข้าใจอัตราจังหวะทางดนตรี การเลือกใช้องค์ประกอบในการสร้างสรรค์บทเพลง  ปัจจัยต่างๆที่ทำให้งานดนตรีเป็นที่ยอมรับ
ศึกษาเพื่อให้เข้าใจองค์ประกอบของบทแพลง  นาฏยศัพท์ทางการละคร  รูปแบบการแสดงเช่น การแสดงหมู่  การแสดงเดี่ยว  การแสดงละคร  การแสดงเป็นชุดเป็นตอน  การประดิษฐ์ท่ารำ  องค์ประกอบของนาฏศิลป์  สามารถสร้างสรรค์อุปกรณ์และเครื่องแต่งกายเพื่อการแสดงแบบง่ายๆได้ 

บทที่4

  บทที่4 การวาดภาพถ่ายทอดบุคลิกลักษณะของตัวละคร

 การ วาดถ่ายทอดบุคลิกลกษณะของตัวละคร ในที่นี้กล่าวถึงการสรรค์ผลงานภาพวาดที่สื่อความหมายและถ่ายทอดถึงบุคลลิ กลักษณะของตัวละครใรวรรณกรรมต่างๆ เป็นการนำหลักการทางศิลปะมาใช้ในการสร้างผลงาน โดยเฉพาะการจัดองค์ประกอบของภาพเทคนิควิธีการในการสร้างผลงาน

2.1 ขั้นตอนการวาดภาพถ่ายทอดบุคคิลลักษณะของตัวละครในวรรณกรรม
     1.ศึกษาเรื่องราวหรือเนื้อหาของวรรณกรร
     เป็นขั้นตอนแรกที่ผู้วาดภาพจะต้องทำความเข้าใจในเนื้อหาของวรรณกรรม ก่อนที่จะลงมือวาดภาพ เพื่อนำมาประใวลเข้ากับจิตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของผู้วาดเอง
     การอ่านเนื้อหาของวรรณกรรมอย่างละเอียดถี่ถ้วนจะช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น ทำให้สามารถคัดเลือกเนื้อหาที่จะนำมาสร้างสรรค์ผลงานได้ ขณะเดียวกันการอ่านจะช่วยให้เกิดจิตนาการภาพตามเรื่องร่าว ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างสรรค์ภาพได้อย่างสอดคล้องกับเนื้อหาของวรรณกรรม และยังช่วยให้เกิดความคิดรวบยอด (Concept) ในการเลือกเทคนิคในการสร้างสรรค์ภาพไปด้วย


  2.การเลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์ 
     วัสดุ  อุปกรณ์ที่ใช้ในการวาดภาพถ่ายทอดบุคคิลลักษณะของตัวละครมีมากมายหลายชนิด ผู้สร้างสรรค์สามารถเลือกใช้ได้ตามความถนัดกับสอดคล้องกับเทคนิควิธีการที่สามารถสร้างเรื่องราวและอารมณ์ของภาพได้ตามความต้องการ
2.2 วิธีการวาดภาพถ่ายทอดบุคลิกลักษณะของตัวละครในวรรณกรรม

     การ วาดภาพถ่ายทอดบุคลิกลักษณะของตัวละครสามารถสร้างสรรค์ได้ด้วยเทคนิคที่ไม่ สลับซับซ้อนมากนัก ส่วนใหญ่นิยมใช้เทคนิคการวาดภาพลายเส้นหรือเทคนิคการระบายสีในการสร้างสรรค์ ผลงาน

     1.การวาดเส้น 
      วัสดุ อุปกรณ์  
กระดาษ วาดเขียนหรือกระดาษชนิดอื่นๆ ที่จะใช้เป็นพื้อรองรับภาพกระดานรองเขียน ดินสอ ปากกา เเท่งถ่าน ดินสอสี สีชอล์ก หรือสีชนิดอื่นๆที่สามารถนำมาขีดเขียนเป็นลายเส้นได้ และวัสดุ อุปกรณือื่นๆ ตามความเหมาะสม
  วิธีการวาดเส้น
     หลัง จากที่อ่านเนื้อหาของวรรณกรรมอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วให้สรุปเหตุการที่ สำคัญๆวนเรื่องและตัวละครร่วมอยู้ในเหตุการนั่นๆถ้ามีหลายเหตุการให้เลือกมา 1 เหตุการณ์ที่สำคันที่สุดจากนั่นในสเก็ตช์ภาพร่างจิตนาการออกมาหลายๆภาพ เพื่อจะได้เลือกภาพที่ดีที่สุด 1 ภาพ มาเป็นต้นแบบในการวาดภาพจริง ในขั้นตอนการสเก็ตช์นี้ถือเป็นการถ่ายทอดความคิดจิตนาการมีการเสริมเเต่งภาพ ให้มีความน่าสนใจ แลพตรงกับเนื้อหาของวรรณกรรม เมื่อสเก็ตช์ภาพเสร็จแล้วให้เลือกภาพสเก็ตช์มา 1 ภาพ นำมาเป็นต้นแบบในการวาดภาพจริง ลอกภาพจากภาพต้นแบบลงกระดาษวาดเขียนที่เตรียมไว้
 
  2.1การวาดภาพระบายสี
     วัสดุ อุปกรณ์
ดินสอ สี สีชอล์ก สีชอล์กน้ำมัน สีน้ำ สีโปสเตอร์ สีอะคริลิก กระดาษวาดเขียนหรือกระดาษชนิดอื่นๆที่สามารถรองรับการระบายสีได้ กระดาษรองเขียน กระดาษก้าวสำหรับผนึกกระดาษ พู่กัน จานสี ภาชนะใส่น้ำ ดินสอ และวัสดุ อุปกรณ์อื่นๆ ตามความเหมาะสม

  2.1การวาดภาพระบายสี

  วิธีการสร้างสรรค์ภาพวาดระบายสี
     ขั้นตอนแรกต้องอ่านเนื้อหาของวรรณกรรมอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ให้สรุปเหตุการที่สำคัญๆ ในเรื่องและตัวละครที่ร่วมอยู้ในเหตุการนั่นๆถ้า มีหลายเหตุการให้เลือกมา 1 เหตุการณ์ที่สำคันที่สุดจากนั่นในสเก็ตช์ภาพร่างจิตนาการออกมาหลายๆภาพ เพื่อจะได้เลือกภาพที่ดีที่สุด 1 ภาพ มาเป็นต้นแบบในการวาดภาพจริง ในขั้นตอนการสเก็ตช์นี้ถือเป็นการถ่ายทอดความคิดจิตนาการมีการเสริมเเต่งภาพ ให้มีความน่าสนใจ แลพตรงกับเนื้อหาของวรรณกรรม เมื่อสเก็ตช์ภาพเสร็จแล้วให้เลือกภาพสเก็ตช์มา 1 ภาพ นำมาเป็นต้นแบบในการวาดภาพจริง ลอกภาพจากภาพต้นแบบลงกระดาษวาดเขียนที่เตรียมไว้

บทที่5

บทที่5 วิจารณ์งานทัศนศิลป์


1.การประเมินและวิจารณ์งานทัศนศิลป์
     การวิเคราะห์งานศิลปะ หมาย ถึง การพิจารณาแยกแยะศึกษาองค์รวมของงานศิลปะออกเป็นส่วนๆ ทีละประเด็น ทั้งในด้านทัศนธาตุ องค์ประกอบศิลป์ และความสัมพันธ์ต่างๆในด้านเทคนิคกรรมวิธีการแสดงออกเพื่อนำข้อมูลที่ได้มา ประเมินผลงานศิลปะว่ามีคุณค่าทางด้านความงามทางด้านสาระ และทางด้านอารมณ์ความรู้สึกอย่างไร
     การวิจารณ์งานศิลปะ  หมาย ถึง การแสดงออกทางด้านความคิดเห็นต่อผลงานทางศิลปะที่ศิลปินสร้างสรรค์ขึ้นไว้ โดยผู้วิจารณ์ให้ความคิดเห็นตามหลักเกณฑ์และหลักการของศิลปะทั้งในด้าน สุนทรียศาสตร์และสาระอื่นๆ ด้วยการติชมเพื่อให้ได้ข้อคิดนำไปปรับปรุงพัฒนาผลงานศิลปะ หรือใช้เป็นข้อมูลในการประเมินตัดสินผลงาน และเป็นการฝึกวิธีดู วิธีวิเคราะห์ คิดเปรียบเทียบให้เห็นคุณค่าในผลงานศิลปะชิ้นนั้น ๆ
1.1จุดประสงค์ในการวิจารณ์งานทัศนศิลป์
     การวิจารณ์งานทัศนศิลป์มีจุดประสงค์ต่างๆดังนี้                                                         
     1)เพื่อความชื่นชมทั่วไป
     2)เพื่อปรับปรุงพัฒนาผลงาน
     3)เพื่อนประเมินผลหรือตัดสินการประกวดแข่งขัน

1.2การประเมินและวิจารณ์งานทัศนศิลป์ในโรงเรียน
     การวิจารณืและการแสดงความชื่นชมงานทัศนศิลป์ในโรงเรียนมีความจำเป็นอย่าง ยิ่งเพราะจะช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และเข้าใจในศิลปะได้อย่างกว่า ขวางการประเมินและวิจารณ์งานทัศนศิลป์ในโรงเรียนเกี่ยวข้องกับปัจจัย2ประการ คือ

1.3หลักเกณฑ์การประเมินและวิจารณ์งานทัศนศิลป์ในโรงเรียน
     ผลงานทัศนศิลป์ทุกชิ้นมีองค์ประกอบต่างๆที่สามารถพิจารณาประเมินค่าได้ดังนี้
         1)การสื่อความหมายได้อย่างจัดเจนและสอดคล้องกับหัวข้อเรื่องที่กำหนด
         2)การใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในผลงานทัศนศิลป์ที่แสดงถึงความก้าวหน้า แปลกใหม่ และมีความเป็นไปได้
         3)วิธีการแสดงออกที่ช่วยให้ผลงานมีคุณค่า และมีลักษณะเป็นของตนเองไม่ลอกเลียนแบบ และมีความสามารถในการใช้วัสดุในการสร้างสรรค์
         4)มีหลักการณ์จัดองค์ประกอบศิลป์ หรือการจัดภาพที่เหมาะสมสวยงาม
         5)มีความประณีตและเรียบร้อย หรือความสมบูรณ์ของผลงานทัศนศิลป์

บทที่3

‎‎บทที่3 การคิดในการวาดภาพสื่อความหมายและเรื่องราวต่างๆ


 การวาดภาพสื่อความหมายเรื่องราว   

 

  

 

าพวาดที่ผู้วาดจะวาดออกมานั้น นอกจากจะสวยงามแล้วยังสือถึงความหมายและเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น  ซึ่งผู้วาดภาพจะเข้าใจดี  คือ การวาดภาพนั้นไม่ใช่วาดเพื่อความสวยงามแต่ต้องสามารถเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ จากภาพได้  ขั้นตอนการวาดภาพภาพสื่อความหมายและเรื่องราว
 การวาดภาพนั้นก่อนจะลงมือวาดภาพ  ผู้วาดจะต้องมีการวางแผน  ออกแบบไปตามขั้นตอนด้งนี้
1. ขั้นกำหนดกรอบแนวคิด  คอเป็นการกระชับขอบเขตการทำงานไม่ให้กว้างจนเกินไป  คือ กำหนดว่า
    จะวาดอะไร  เพื่อสื่อความหมายและเรื่องราวใด  น่าจะใช้เทคนิคการวาดภาพแบบใด
2. ขั้นกำหนดชื่อเรื่อง  เป็นการตั้งชื่อเรื่องให้มีความสัมพันธ์กับภาพที่เราวาดออกมาหรือก่อนจะวาด
    ภาพนั้น
3. ขั้นร่างภาพ  หลังจากตกผลึกแนวคิดในการวาดภาพแล้ว  ก็ทำการร่างภาพด้วยดินสอเบาๆ  โดย
    คำนึงถึง การจัดวาง  รูปทรง  ให้เป็นเอกภาพ
4. ขั้นระบายสี  เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการสร้างสรรค์ผลงาน  ต้องใช้เทคนิคและวิธีการที่แตกต่างกัน
    ไปของการลงสีแต่ละชนิด

เทคนิคการวาดภาพด้วยสีน้ำ

 

   ก่อนลงมือสร้างสรรค์ผลงานควรทำความเข้าใจคุณสมบัติของสีน้ำและเทคนิคเฉพาะในการระบายสีน้ำเป็นพื้นฐานความรู้ก่อน ดังนี้1.สี น้ำมีลักษณะโปร่งแสงเนื้อสีบางและมีสีสันสวยงาม  เมื่อระบายลงพื้นกระดาษจะเห็นความใสของสีบนผิวกระดาษ  สีน้ำใช้น้ำละลายความเข้มข้นของสี2.การระบายต้องรู้จักรอคอยจังหวะเวลา  เพื่อกำหนดความชุ่มเปียก ความหมาดของพื้นกระดาษ3. เมื่อต้องการให้สีดูสดใสชุ่มฉ่ำก็ให้ระบายน้ำสะอาดลงบนพื้นกระดาษก่อนพอหมาดๆ

เทคนิคในการวาดภาพสีน้ำมีหลายวิธี  ดังนี้

  

1. การระบายสีแบบเปียกบนเปียก
2  การระบายสีแบบแห้งบนเปียก
3. การระบายสีแบบเปียกบนแห้ง

4
. การระบายสีแบบแห้งบนแห้ง
   เนื่องจากสีน้ำเป็นสีที่มีลักษณะโปร่งแสงเมื่อระบายสีน้ำลงบนพื้นกระดาษจะ เห็นความใสของสีบนพื้นผิวกระดาษ  ดังนั้น การระบายสีน้ำควรระบายด้วยสีอ่อนให้ชุ่มเป็นรูปร่างต่างๆ แล้วเน้นด้วยสีเข้มขณะที่ภาพยังเปียกอยู่ 

 เทคนิคการวาดภาพด้วยสีโปรสเตอร์
     ขั้นตอนการร่งภาพเป้นขั้นตอนที่สำคัญในการวาดภาพระบายสี  เพราะร่างภาพเป็นการเริ่มต้นโครงร่างของภาพ  ซึ่งเป็นการถ่ายทอดความคิดหรือจินตนาการออกมา  ก่อนการวาดภาพทุกครั้งจำเป็นต้องมีการร่างภาพเพื่อจัดลำดับเนื้อหา  จัดองค์ประกอบของทัศนธาตุให้ได้ตามหลักการจัดองค์ประกอบศิลป์ที่สมบูรณ์  แล้วจึงลงน้ำหนักของเส้น  แสงและเงา สี ตามภาพร่างที่กำหนดไว้ โดยใช้สีโปรสเตอรืจึงจะได้ผลงานที่มีคุณภาพ
เทคนิคการวาดภาพด้วยเทคนิคผสม 
     การระบายสีโปสเตอร์  มีวิธีการระบายให้สีผสมผสานกลมกลืนกันอยุ่ 2 วิธี  ดังนี้
1.ระบาย สีแก่ไปหาสีอ่อน เป็นการระบายสีโดยคำนึงถึงเงาเข้มของภาพก่อนแล้วค่อยลดน้ำหนักให้อ่อนลงด้วย การผสมสีขาว  หรือสีใกล้เคียงกันในวงจรสีที่มีน้ำหนักอ่อนลงมาผสมเพิ่มเข้าไปทีละน้อยใน ลักษณะของการไล่น้ำหนักสี  เพื่อให้ภาพสว่างกลมกลืนกัน
2. ระบายจากสีอ่อนไปหาสีแก่  เป้นการระบายสีโดยคำนึงถึงส่วนสว่างหรือส่วนที่ได้รับแสงก่อน  แล้วจึงค่อยๆเพิ่น้ำหนักให้เข้มขึ้นที่ละน้อยด้วยการผสมสีดำหรืสีตรงกันข้าม ในวงจรสีที่มีน้ำหนักเข้มขึ้น  ในลักษณะของการไล่น้ำหนักสี  เพื่อให้เกิดการประสานกลมกลืนกัน

 

บทที่2

บทที่2 เทคนิควิธีสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์

เทคนิคการสร้างงานศิลปะ

การสร้างสรรค์ทางศิลปะ
         หมายถึง การนำเสนอสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ในทางศิลปะสามารถกระทำโดยการนำวิธีจัดรูปแบบองค์ประกอบศิลปะโดยใช้ทัศนะธาตุ เช่น เส้น สี น้ำหนัก พื้นผิว รูปร่าง รูปทรง เป็นสื่อในการถ่ายทอด และผ่านเทคนิคต่าง ๆ ในทางจิตรกรรมอาจใช้ ดินสอสี สีน้ำมัน สีน้ำ สีอะครายลิค สีฝุ่น หรือเทคนิคผสม เป็นต้น
กระบวนการสร้างสรรค์ สามารถแสดงออกได้หลายวิธีการดังนี้
  1. การสร้างสรรค์แบบรูปธรรม (Realistic)
  2. การสร้างสรรค์กึ่งนามธรรม (Semi Abstract)
  3. การสร้างสรรค์นามธรรม (Abstract)
เช่นในงานศิลปะในแนวImpressionism, Neo-Impressionism,และ Abstract เป็นต้น
แหล่งที่มาของความคิดสร้างสรรค์
ตัวอย่างความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะอาจมีที่มาจากแรงบันดาลใจ ดังนี้
  1. การเดินทางเยี่ยมชม ธรรมชาติ พิพิธภัณฑ์ทางศิลปะ งานแสดงศิลปะ ฯลฯ
  2. การอ่านหนังสือ นิตยสาร วารสาร วรรณกรรม วรรณคดี
  3. การแสดงพื้นบ้านในเทศกาลต่าง ๆ
  4. การศึกษาขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรม ศาสนา
  5. การฟังดนตรี นกร้อง สัตว์ และแมลงต่าง (ศึกษาเรื่องเสียง)
  6. การศึกษาเรื่องทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี หลักฟิสิกส์
  7. สังเกตจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น ฝนตก ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า รุ้งกินน้ำ ฯลฯ ทำเป็นงานศิลปะ
  8. เดินทางทุก ๆ 1 กิโลเมตร บันทึกเป็นงานศิลปะ
  9. ผูกกล้องติดขา เดินไปข้างหน้า กดชัตเตอร์ทุก 10 ก้าว แล้วนำมาสร้างเป็นงานศิลปะ
  10. ทำงานศิลปะเกี่ยวกับเวลา
  11. ทำงานเกี่ยวกับแสง หรือบางทีอาจนำแสงและเสียงมาประกอบเข้ากันสร้างสรรค์เป็นงานศิลปะ
  12. ทำ งานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับความเป็นตรงกันข้าม เช่น ทำโดยใช้สิ่งที่ตัวเราเองเกลียดที่สุด สีที่ไม่เคยใช้ ทำสิ่งที่ทุกคนเกลียด เห็นคุณค่าในสิ่งที่ไร้คุณค่า เช่น นำวัสดุเหลือใช้ฟุ่มเฟือยมาสร้างเป็นงานศิลปะ
  13. ศึกษาเรื่องลม และความรู้สึกทุก 20 นาที แล้วนำมาสร้างสรรค์
  14. ทำงานศิลปะเกี่ยวกับที่ว่าง
  15. ทำงานศิลปะเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วง ความสมดุลย์
  16. การล่องเรือ ดำน้ำ ว่ายน้ำ ชมปะการัง
  17. ดูภาพยนตร์ ทีวี วีดีโอ
  18. ปรากฏการณ์จากความฝันนำมาสร้างงานทางศิลปะ
  19. นั่งสมาธิ เดินจงกรมทุก 10 นาทีแล้วนำมาสร้างสรรค์
  20. สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดกับคนหลากหลายอาชีพ แล้วนำมาสร้างงานศิลปะ
  21. ศึกษาเรื่องรสแล้วนำมาเป็นงานศิลปะ
  22. ศึกษาเรื่องกลิ่น แล้วนำมาเป็นงานศิลปะ
  23. เล่าประสบการณ์แลกเปลี่ยนกับเพื่อนศิลปินแล้วนำมาทำเป็นงานศิลปะ
  24. คิดถึงเพื่อนที่สนิทที่สุดนำมาทำเป็นงานศิลปะ
25.   หลับตา ลืมตาทุก 5 นาที แล้วนำมาทำเป็นงานศิลปะ
26.   นำเอาความสะเทือนใจในช่วงชีวิตมาสร้างสรรค์ เช่น ความรัก ความโกรธ ความสูญเสีย ความตาย เป็นต้น
          27. การฟังธรรมะแล้วนำมาทำงานศิลปะ
          28. จ้องมองท้องฟ้าดูกลุ่มก้อนเมฆที่เคลื่อนไหว พระจันทร์ ดวงอาทิตย์ ฯ
วิธีการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ
โดยปกติกระบวนการสร้างสรรค์ผลงานด้านศิลปะนั้น ส่วนใหญ่ศิลปินจะเริ่มจากกระบวนการคิดและปฏิบัติตามขั้นตอน ดังนี้
  1. วางกรอบ แนวทางจากความคิดรวบยอด(concept)ในการสร้างสรรค์จากสิ่งที่ประทับใจ แรงบันดาลใจ(Inspiration) จากเนื้อหาดังกล่าวข้างต้น เพียง 1 ประเด็น (จากแหล่งที่มาของความคิดสร้างสรรค์)
  2. ศึกษา ค้นคว้า ทำวิจัย(research)หรือจากผลงานของศิลปินที่สร้างสรรค์ผลงานศิลปะ เกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ โดยเฉพาะ
  3. พยายาม สรุปประเด็นทำงานออกมากเป็นลักษณะตัวเองโดยการทดลองเทคนิคที่จะใช้ในการ สร้างสรรค์โดย ทำซ้ำ เปลี่ยนแปลงรูปแบบ อาจนำกล้องดิจิตอล คอมพิวเตอร์ มาช่วยในการ สะเก็ด(Sketch)จนได้ผลเป็นที่พอใจ แล้วนำไปเป็นกลวิธี( Technique)ที่พึงพอใจที่สุดไปใช้ในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะชิ้นนั้นๆ
  4. คัดเลือกและสร้างสรรค์ผลงานที่มีลักษณะ เฉพาะตน ตามจุดประสงค์ที่วางไว้ เช่น ชุด(Series) ละ 10 ชิ้น 20 ชิ้น และ
  5. เริ่ม โครงการใหม่(New Project)ใหม่ โดยนำวิธีการสร้างสรรค์จากข้อ 1-4 มาปฏิบัติและต้องสำนึกอยู่เสมอว่าผลงานที่เกิดจากกระบวนการสร้างสรรค์นั้นจะ ต้องเปลี่ยนแปลงและพัฒนารูปแบบที่นำไปสู่สิ่งแปลกใหม่อยู่เสมอ
การ พัฒนาการทางความคิดสร้างสรรค์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอก็ต่อเมื่อศิลปิน เปิดใจกว้างโดยยอมรับให้อิทธิพลของสิ่งเร้าจากบริบทต่าง ๆ ตลอดจนรูปแบบ (Style) ของศิลปินท่านอื่น ๆ เข้ามามีบทบาทร่วมในการแสดงออกทั้งทางด้านความคิดและแรงบันดาลใจในผลงานแต่ ละชิ้นของตนเองบ้าง เพื่อให้เกิดผลในด้านพัฒนาการทางความคิดสร้างสรรค์ สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างสรรค์ผลงานแต่ละครั้งนั้น ศิลปินจะต้องมีสิ่งเร้าที่เกิดขึ้นจากความต้องการภายในจิตใจของศิลปินเอง 

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2561

บทที่1

ทัศน์ศิลป์ ม.6

                                            บทที่1ศิลปะม.6

กลุ่ม สาระการเรียนรู้ศิลปะเป็นกลุ่มสาระที่ช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนมีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ มีจินตนาการทางศิลปะ ชื่นชมความงาม มีสุนทรียภาพ ความมีคุณค่า ซึ่งมีผลต่อคุณภาพชีวิตมนุษย์ กิจกรรมทางศิลปะช่วยพัฒนาผู้เรียนทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม ตลอดจนการนำไปสู่การพัฒนาสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเชื่อมั่นในตนเอง อันเป็นพื้นฐานในการศึกษาต่อและการประกอบอาชีพได้ 

1.1 ความหมายของทัศนศิลป์

               ทัศน ศิลป์  หมายถึง  ศิลปะที่รับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทางตา  ศิลปะที่มองเห็น เมื่อพิจารณาความหมายที่มีผู้นิยามไว้ จะพบว่าการรับรู้เรื่องราว อารมณ์ ความรู้สึกของงานทัศนศิลป์นั้น จะต้องอาศัยประสาทตาเป็นสำคัญ  นั่นคือตาจะรับรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่นำมาประกอบเป็นงานทัศนศิลป์ได้แก่ เส้น รูปร่าง รูปทรง สี แสงเงา และพื้นผิว เป็นต้น โดยศิลปะจะนำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มาสร้างสรรค์ผลงานด้วยวิธีการเขียนภาพ ระบายสีบ้าง ปั้นและสลักบ้างหรืองานโครงสร้างเป็นต้น
               การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ให้เกิดคุณค่าทางศิลปะได้นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถ ทักษะและความคิดของศิลปินแต่ละคน งานทัศนศิลป์ที่ปรากฏให้เห็นสามารถแบ่งออกเป็น 2  ลักษณะ คือ
                          ทัศนศิลป์ 2   มิติ ได้แก่ ผลงานการเขียนภาพระบายสี
                          ทัศนศิลป์ 3  มิติ ได้แก่ ผลงานประติมากรรม  สถาปัตยกรรม
ลักษณะเด่นของงานทัศนศิลป์
               ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ผลงานทัศนศิลป์เป็นสิ่งที่ศิลปินสร้างสรรค์ขึ้น  เพื่อตอบสนองความต้องการด้านจิตใจ อารมณ์ มุ่งหวังให้เกิดความสุนทรีย์ หรือความรู้สึกสะเทือนใจแก่ผู้พบเห็น
ที่มาของงานทัศนศิลป์ ประกอบด้วย
  1.1 ศิลปิน (Artist) เป็น ผู้ถ่ายทอดผลงานศิลปะ  โดยได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติสิ่งแวดล้อมด้วยความรู้สึกประทับใจหรือเกิด ความสะเทือนอารมณ์ จึงถ่ายทอดออกมาตามอารมณ์ความรู้สึกและจินตนาการเฉพาะตน
   1.2 สิ่งแวดล้อม (Environment) ได้แก่ ธรรมชาติ ความเชื่อทางศาสนา เรื่องจากประวัติศาสตร์ เรื่องราวจากวรรณคดี ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณี ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งเร้า เป็นตัวกระตุ้นให้มนุษย์เกิดอารมณ์ความรู้สึกและแสดงออกด้วยการถ่ายทอดออกมา เป็นผลงานศิลปกรรม
     1.3 สื่อ/วัสดุ (Media) ได้แก่ กระดาษ สี ดินสอ หิน ไม้ ปูน ฯลฯ ซึ่งศิลปินได้ซึมซับประสบการณ์จากสิ่งแวดล้อม แล้วนำไปถ่ายทอดลงบนสื่อให้ออกมาเป็นรูปธรรม
     1.4 ผลงานศิลปะ (Art) เป็นผลงานที่เกิดจากแรงบันดาลใจในสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ โดยผ่านสื่อให้ปรากฏเป็นรูปธรรม เรียกว่า “ผลงานศิลปะ”

1.2 ประเภทของงานทัศนศิลป์

ผลงานศิลปะด้านทัศนศิลป์  สามารถจำแนกออกได้เป็น 4 ประเภท
 จิตรกรรม ( Painting )
จิตรกรรม เป็น งานศิลปะที่แสดงออกด้วยการวาด ระบายสี และการจัดองค์ประกอบความงามอื่น เพื่อให้เกิดภาพ 2 มิติ ไม่มีความลึกหรือนูนหนา จิตรกรรมเป็นแขนงหนึ่งของทัศนศิลป์ ผู้ทำงานจิตรกรรม มักเรียกว่า จิตรกร

ประติมากรรม ( Sculpture )

                ประติมากรรม เป็น งานศิลปะที่แสดงออกด้วยการปั้น แกะสลัก หล่อ และการจัดองค์ประกอบความงามอื่น ลงบนสื่อต่างๆ เช่น ไม้ หิน โลหะ สัมฤทธิ์ ฯลฯ เพื่อให้เกิดรูปทรง 3 มิติ มีความลึกหรือนูนหนา ประติกรรมเป็นแขนงหนึ่งของทัศนศิลป์ ผู้ทำงานประติมากรรม มักเรียกว่า ประติมากร
งานประติมากรรม แบ่งเป็น 3 ประเภท ตามมิติของกความลึก ได้แก่
  • ประติมากรรมนูนต่ำ
  • ประติมากรรมนูนสูง
  • ประติมากรรมลอยตัว

ประติมากรรม ( Sculpture )

                ประติมากรรม เป็น งานศิลปะที่แสดงออกด้วยการปั้น แกะสลัก หล่อ และการจัดองค์ประกอบความงามอื่น ลงบนสื่อต่างๆ เช่น ไม้ หิน โลหะ สัมฤทธิ์ ฯลฯ เพื่อให้เกิดรูปทรง 3 มิติ มีความลึกหรือนูนหนา ประติกรรมเป็นแขนงหนึ่งของทัศนศิลป์ ผู้ทำงานประติมากรรม มักเรียกว่า ประติมากร
งานประติมากรรม แบ่งเป็น 3 ประเภท ตามมิติของกความลึก ได้แก่
  • ประติมากรรมนูนต่ำ
  • ประติมากรรมนูนสูง
  • ประติมากรรมลอยตัว

ภาพพิมพ์ ( Printing )

                ภาพพิมพ์ โดยความหมายของคำย่อมเป็นที่เข้าใจชัดเจนแล้วว่า หมายถึงรูปภาพที่สร้างขึ้นมา
โดยวิธีการพิมพ์ แต่สำหรับคนไทยส่วนใหญ่เมื่อพูดถึง ภาพพิมพ์อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักว่าภาพพิมพ์
คืออะไรกันแน่ เพราะคำๆนี้เป็นคำใหม่ที่เพิ่งเริ่มใช้กันมาประมาณเมื่อ 30 ปี มานี้เอง
ภาพ พิมพ์ทั่วไปมีลักษณะเช่นเดียวกับจิตรกรรมและภาพถ่าย คือตัวอย่างผลงานมีเพียง 2 มิติ ส่วนมิติที่ 3 คือ ความลึกที่จะเกิดขึ้นจากการใช้ ภาษาเฉพาะของทัศนศิลป์ อันได้แก่ เส้น สี น้ำหนัก และพื้นผิว สร้างให้ดูลวงตาลึกเข้าไปในระนาบ 2 มิติของผิวภาพ แต่ภาพพิมพ์มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากจิตรกรรมตรงกรรมวิธีการสร้างผลงานที่ จิตรกรรมนั้น ศิลปินเป็นผู้สร้างสรรค์ขีดเขียน หรือวาดภาพระบาย สีลงไปบนผืนผ้าใบ กระดาษ หรือสร้างออกมาเป็นภาพโดยทันที แต่การสร้างผลงาน   ภาพพิมพ์ศิลปินต้องสร้างแม่พิมพ์ขึ้นมาเป็นสื่อก่อน แล้วจึงผ่านกระบวนการพิมพ์ ถ่ายทอดออกมาเป็นภาพที่ต้องการได้

  

ก่อนเรียน

                                              แบบทดสอบก่อนเรียน 1. ลักษณะความงามของศิลปะไทยได้แก่ลักษณะในข้อใด  ก. ลักษณะความงามของงานปฏ...